Saturday, 5 September 2009

"ฟ้าในวันที่ผ่านมา" (past's sky)



...แลวิหคเพลิงหมายบินสู่เส้นชัย.




-จดหมายที่ทำให้เราได้พบเจอกับใครหลายๆคน-


...ขอแสงสว่างแห่งปัญญานำทาง .

...หลังจากจบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพถ่ายข้าพเจ้าได้ใช้เวลา 2 ปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผ่านพบเรื่องราวต่างๆมากมาย

“ความทุกข์”

เป็นเพื่อนแลอาจารย์ที่แท้จริงของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้เริ่มค้นหา
“ความจริง”

ความจริงจาก “ภายใน”

จากที่เคยต้องการเพื่อดับทุกข์แห่งตน

กลับกลายเป็น

การปรารถนาในการช่วยสวรรค์ประกาศ “ความจริง”

ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงไหน ทุกคน ทุกผู้ ทุกนาม ยังคงต้องเดินทางต่อไป

ในเส้นทางชีวิตของตัวเอง

ข้าพเจ้าหวังเพียงว่า ความสามารถแม้เพียงน้อยนิดของข้าพเจ้า จะสามารถช่วยบอกผ่าน “สัจธรรม” หรือ “ความจริง” ผ่านงานเขียนของข้าพเจ้า ผ่านอณูเสียง ตัวหนังสือ ผ่านภาพนิ่ง แลภาพเคลื่อนไหว ที่ข้าพเจ้าสามารถบอกผ่านเรื่องราวแลความจริงได้

งานเขียนต่างๆเกี่ยวกับ เรื่องผี จิต วิญญาณ , กิเลส , กรรม-เวร , ความรัก , ความเมตตา แลทั้งหมดมุ่งสู่

“ปัญญา”

ทั้งหมดทั้งมวล ทุกความรู้สึกของมนุษย์ มนุษย์ผู้สามารถมุ่งไปสู่ “เส้นชัย”

แม้ยากลำบากสักเพียงใด

ข้าพเจ้าหวังแลศรัทธาว่า “ทุกคน” จะสามารถมุ่งไปสู่แสงสว่างได้ด้วยกัน .

-กรรมานัตตา-
15 กรกฏาคม 2551

...งานเขียน เรื่องสั้น เรื่องยาว บทความ นิทานเด็ก ภาพวาด ภาพระบาย และทุกศาสตร์แห่งศิลปะในการสื่อสาร

ข้าพเจ้าจะบอกผ่าน “ความจริง”

ผ่านเครื่องมือทางการสื่อสารที่ข้าพเจ้ามีอยู่

...ขอแสงสว่างจงนำทาง

...แลนำสุขสวัสดิ์ดีจงมีแก่ท่านเทอญ

...สวัสดีครับ


(…ข้าพเจ้าอธิษฐานอยู่เสมอว่าขอจงสำเร็จ “ทางโลก” เพื่อช่วยเหลือแลตอบแทนพระคุณมารดาของข้าพเจ้า

แลอธิษฐานว่าขอจงสำเร็จ “ทางธรรม” เพื่อช่วยเหลือทุกคน ทุกดวงวิญญาณ แลโลกใบนี้

แลเพื่อมุ่งสู่การหมดสิ้นกิเลส ตั้งมั่นสู่ “พระนิพพาน” แลตั้งมั่นในกรรมดี)



สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับ คุณผู้อ่าน ที่น่ารักทุกๆท่าน.

เช้าวันนี้เราได้เข้าร่วมกิจกรรมทำวัตรเช้าที่สำนักพิมพ์เช่นเดิมครับหลังจากที่ห่างหายไปหลายครั้งหลายครา.

มันคือกิจกรรมอะไรอ่ะ??

หลายๆคนอาจจะงงนะครับว่าสำนักพิมพ์ที่เราทำงานอยู่มันมีกิจกรรมทำนองนี้ด้วยเหรอ??

ใช่แล้วล่ะครับ , ที่สำนักพิมพ์ที่เราเขียนหนังสือธรรมะอยู่นั้นจะมีกิจกรรมทำวัตรเช้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง คือ เช้าวันจันทร์และเช้าวันเสาร์ครับ (เราทำงานสัปดาห์ละ ๖ วันครับ , วันจันทร์ถึงเสาร์.)

การทำวัตรเช้าก็จะเริ่มด้วยการสวดมนต์ที่ลานธรรมครับ พนักงานประมาณ ๑๐๐ คนจากทุกแผนกก็จะมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ และแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลร่วมกันครับ.

สำหรับเรา , ทีแรกก็งงๆนิดหน่อยครับว่า "เออ , แปลกดีแฮะ ที่มีกิจกรรมแบบนี้" แต่ก็ไม่แปลกใจอีกทีครับ เพราะว่าที่สำนักพิมพ์ที่เราทำอยู่นั้น

"เป็นสำนักพิมพ์พระพุทธศาสนา."

(ยิ้ม)

คงไม่มีออฟฟิศที่ไหนหรอกครับที่จะสละเวลาครั้งละ ๒ ชม. เป็นอย่างน้อยมาร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเช้าร่วมกันแบบนี้ , จริงไหม??

"เพราะที่นี่ส่งเสริมทั้งทางโลกและทางธรรมครับ"

ที่นี่ทำงานถือหลักว่า บุญนำแบงก์ แข็งแรงกายแข็งแรงใจ.

แต่สำหรับเราแล้ว , เราไม่สนใจเรื่องบุญนำแบงก์หรอกครับ เราสนใจเรื่องของ "ปัญญา."

"ปัญญา ในการรู้กายรู้ใจตัวเองว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา."

เอ...มันคืออะไรน้อ??

เกริ่นมากก็นานครับ , เดี๋ยวเราจะมาว่ากันต่อที่ประเด็นนี้ครับ (ยิ้ม)

หลังจากสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ตัวเอง เพื่อนร่วมโลก และสรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม ทุกสรรพสิ่ง แผ่ออกไปให้สุดขอบสุดประมาณส่องสว่างรัศมีไปไกลแสนไกลแล้ว , กิจกรรมจากเถ้าแก่หรือกองบรรณาธิการก็จะเริ่มขึ้นครับ.

กิจกรรมที่ว่านี้ก็เช่น เถ้าแก่จะออกมาพูดจาปราศรัยทักทายเรื่องราวธรรมะและสาระ(ทุกข์)สุขดิบทั้งหลายกับพนักงานที่ลานธรรม , เป็นต้นครับ

หรือไม่ก็เป็นกิจกรรมที่กองบรรณาธิการนำเสนอครับ เช่น เล่นเกมส์ใดๆ ทำข้อสอบธรรมะและความรู้รอบตัว เป็นต้นครับ.

ก็รันๆดำเนินการไปเรื่อยๆจนกระทั่ง ๑๐ นาฬิกาเช่นทุกครั้งไป แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานตามปรกติครับ.

"เช่นเดียวกับกิจกรรมในเช้าวันเสาร์ที่ ๕ กันยายน วันสบายๆวันนี้ครับ. "

เราก็สวดมนต์ไปตามท่วงทำนองที่มันควรจะเป็นครับ.

ใจหลงไปแว๊บรู้สึก แว๊บรู้สึก เดี๋ยวมันก็หลงไปคิด เดี๋ยวมันก็เผลอไปฟุ้งซ่าน ปากก็สวดมนต์แต่ใจนี่ไหลไปไหนต่อไหน เราก็คอยระลึกรู้ตามดูกายตามดูใจไปด้วยสติและปัญญาครับ

เบื้องต้นรู้เพื่อเกิดสติ , ใจเผลอไปคิด ใจเผลอไปฟุ้งซ่าน พอเกิดสติระลึกรู้สภาวะต่างๆเหล่านี้ เราก็พิจารณาและรู้สึกด้วยปัญญาเป็นเบื้องปลายทันที


"นาทีทอง."

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป (เมื่อเกิดสติระลึกรู้ตามสภาวะในใจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน)

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป


ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เฉยๆ กลัว โกรธ ฟุ้งซ่าน ขี้เกียจ ขี้อิจฉา ขี้นู่น ขี้นี่ ขี้นั่น เต็มไปหมด สุดท้ายมันก็มาลงที่เดียวกันคือ

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป

"เพียงแค่ชั่วคราว."


แถมเราก็บังคับใจของเราไม่ได้ด้วยนี่ ไม่ทุกข์ได้มั้ย?? อย่าหลงสิ?? อย่าคิดฟุ้งซ่านสิ?? อย่ากลัวสิ?? มีความสุขอย่างเดียวสิ?? เราบังคับมันไม่ได้นี่

เช่นเดียวกับ สติ.

จิตมันก็มีหน้าที่คิดปรุงแต่งไปของมันเช่นนั้นเองนี่

เอ?? แล้วถ้าอย่างนั้น...

"อะไรที่เราบังคับไม่ได้มันก็ไม่ใช่ของเราด้วยน่ะสิ"

เอ?? จริงมั้ยน้อ?? ลองไปสัมผัสและรู้สึกในกายในใจกันดูละกันนะครับ ดูได้ตลอดเวลา ดูได้ในชีวิตประจำวัน.

แล้วเราจะค้นพบกับ "ความเป็นจริง."

กิจกรรมหลังทำวัตรเช้าในเช้าวันเสาร์นี้มันทำให้เราระลึกถึง "จดหมายไฟฟ้า" ฉบับหนึ่งที่เราเขียนแนะนำตัวเอาไว้ครับ , จดหมายฉบับนี้มันก็ผ่านมาได้ประมาณ ๑ ปีหน่อยๆแล้ว มันทำให้เราได้พบเจอบุคคลดีๆหลายๆคนรวมไปถึงหน้าที่การงานในปัจจุบันด้วยล่ะครับ

พอดีว่าเช้าวันนี้ , เถ้าแก่เราแจกรูปภาพที่เคยถ่ายไว้ของพนักงานแต่ละคนให้กับเจ้าตัวครับ เป็นกระดาษที่ปรินท์รูปภาพขนาดใหญ่พอประมาณ ส่วนด้านหลังจะมีกรอบข้อความให้แต่ละคนขีดเขียนลงไปดังนี้

ในปี พศ. ... ฉันจะเป็นหัวหน้า มีผู้ช่วย ... คน งานที่ฉันทำแล้วมีความสุข คือ ... ลงชื่อ ... นามสกุล ...ชื่อเล่น ... ณ.วันที่ ๕ กันยายน พศ. ๒๕๕๒

ดังนี้ครับ.

อา...ตอนนี้ถ้า คุณผู้อ่าน เห็นข้อความแบบนี้แล้ว คุณจะขีดๆเขียนๆมันลงไปอย่างไรบ้างครับ??

สำหรับเราแล้ว , ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นข้อความเหล่านี้ เรารู้สึกว่า

"เราจะไม่เป็นอะไรเลย"

เราขีดเครื่องหมายลบในช่องปี พศ.

เราขีดฆ่าประโยคที่ว่าฉันจะเป็นหัวหน้า เป็น "ฉัน ขีดฆ่าอีกทีเป็น เรา , เราจะไม่เป็นอะไรเลย"

มีผู้ช่วย เครื่องหมายลบ จำนวนคน.

งานที่เราทำแล้วมีความสุขคือ "การได้ทำงานให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเขียนหนังสือธรรมะและสื่อสร้างสรรค์ที่เราพอจะมีปัญญาอันน้อยนิดสร้างสรรค์ออกมาได้."

ลงชื่อ ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ ชื่อเล่น นัท.

อืม...เขียนเสร็จเราก็รู้สึกกับสิ่งที่เขียนไปจริงๆ

ยังงัยเหรอ??

ตั้งแต่เริ่มภาวนาดูกายดูใจมาตามหลักการเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานหรือที่แปลว่า การเห็นอันวิเศษ นั่นเองได้ปีกว่าๆ เราก็รู้สึกเริ่มเห็นตามความเป็นจริงในกายในใจมากขึ้นเรื่อยๆว่า

"ตัวเราที่เมื่อก่อนมันเป็นก้อนอัตตาตัวตนหนาแน่นมันเริ่มอ่อนลงๆและยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆทุกทีๆว่ามันไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง เราทุกคนโดนหลอก จริงๆแล้วมันไม่มีใคร ไม่มีอะไร แต่มันเกิดจากความไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริง เลยหลงวนเวียนเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด."

โอเค , เรายังรู้สึกดีกับความสุข ยังมีกิเลสตัวหลักๆอยู่บ้าง แต่เราก็เริ่มปล่อยวางและรู้หนทางในการพ้นทุกข์ มากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นกิเลสในใจ เราเห็นความจริงมากมายที่ปรากฏขึ้นในกายในใจ และ...

เราจะภาวนาต่อไป.

เรารู้สึกเช่นนี้ , หลังจากนั้น เถ้าแก่ก็ส่งไมค์ให้พนักงานทีละคนเพื่อบอกความรู้สึกว่า ทำไมเถ้าแก่ต้องให้ทุกคนเขียนคำตอบลงในช่องว่างพวกนี้

"เรารู้สึกว่าเป็นการวางเป้าหมายสำหรับบทบาทสมมติที่เราแต่ละคนจะต้องดูแลและรับผิดชอบและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด."

เราส่งผ่านความรู้สึกผ่านไมโครโฟนไปเช่นนี้เองครับ.

ส่วนคนอื่นก็แล้วแต่ความรู้สึกของแต่ละคนครับ ไม่มีผิด ไม่มีถูก

หลายๆคนอยากเป็นหัวหน้า อยากมีหน้าที่การงานสูงๆ อยากมีลูกน้องเยอะๆ อยากเป็นใหญ่เป็นโต มันไม่ผิดอะไรเลยนี่...

แต่อย่าลืมถามตัวเองนะครับว่า...

"แล้วสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าต่อโลกใบนี้มากน้อยเพียงใด??"

มองกลับไปปีกว่าๆที่แล้วก็รู้สึกว่ามาไกลมากๆเหมือนกัน ความฝันตั้งแต่วัยเรียนในการจะทำภาพยนตร์โฆษณา มันก็พลันจบลงด้วยความรู้สึกที่ว่า...

"นี่กูทำอะไรอยู่วะ??"

"คุณค่าของมันคืออะไร?? ความเหนื่อยความทุกข์กายทุกข์ใจเราเอาไปทำเรื่องที่มันเป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ได้มากกว่านี้จะดีมั้ย?? แต่มันก็เป็นความฝันของเรานะการทำหนัง ตำแหน่งหน้าที่การงานเงินเดือนสูงๆและอื่นๆอีกมากมาย..."

แต่สุดท้าย...

มันก็เพื่อ ตัวเอง!! (นี่หว่า , มันเพื่อตัวเองทั้งนั้นเลย.)

...ตอนนั้นกังวลและไม่รู้หนทางว่าจะเอาอย่างไรดี?? เอาไงดีวะ?? ทำต่อไปเหรอ?? แต่เราจะตายห่าสิ้นลมหายใจเมื่อไหร่ก็ไม่รู้?? แล้วชีวิตแบบนี้มันใช่แล้วเหรอ??

สุดท้ายตัดสินใจง่ายๆเลยว่า วาง!! ไปตายเอาดาบหน้า!!

อยากเขียนหนังสือเหรอ?? ก็เริ่มลงมือเขียนสิ ทำเหตุทำปัจจัยสิ

อยากเขียนหนังสือธรรมะเหรอ?? ศึกษากาย ศึกษาใจของตัวเองสิ ศึกษาธรรมะและธรรมชาติรอบๆตัวสิ

...สุดท้าย , ทำเหตุทำปัจจัยในปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้ว ผลมันก็จะออกมาเอง ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือมันไม่สำเร็จ.

อืม , ปัจจุบันนี้ก็รู้สึกดีกับการทำงานเขียนหนังสือธรรมะด้วยปัญญาอันน้อยนิดให้ผู้คนในโลกใบนี้ อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน เราก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด งานอื่นที่อยากทำก็มีเวลาทำ หล่อเลี้ยงได้ทั้งชีวิตและอุดมการณ์.

"เงิน" ไม่ใช่คำตอบสำหรับเรานี่.

แล้ว คุณผู้อ่าน ล่ะครับ , ถ้าเป็นคุณ , คุณจะเขียนลงในช่องว่างหลังกระดาษว่าอย่างไร??

ขอบคุณกัลญาณมิตรธรรม อันได้แก่ กิตติพงษ์ หาญเจริญ (ป๊อปเด้อ , กิต) สำหรับบทสนทนาและการพูดคุยต่อคำถามที่เกิดขึ้นรอบๆกายในช่วงชีวิตของเราที่ผ่านมาทั้งชีวิต ณ. หน้าลานศูนย์หนังสือจุฬา :D

เช่นเดียวกับ ชนินทร์ (วอก , นิน) สำหรับเชื้อธรรมแรงๆหลังจาก ๑๔ วันหลังการบวชของคุณในครานั้น , การพบเจอและสนทนากันในวันนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับเส้นทางสายธรรมแห่งเราได้อย่างดี.

พี่พงศ์ (ธรากร กมลเปรมปิยะกุล , Creative Director TBWA Thailand) จดหมายฉบับนี้ทำให้ผมและพี่ได้พบเจอกันอย่างมหัศจรรย์ทั้งทางโลกและทางธรรม ขอบคุณสำหรับความรู้ ประสบการณ์ และโอกาสดีๆที่เราได้พบกันครับ.

อ.ศักดิ์สิทธิ์ บก.ที่เคารพ ขอบคุณสำหรับความรู้ คำแนะนำ และโอกาสในการทำงานเพื่อพระพุทธเจ้าครับ.

และท่านอื่นๆที่มิได้เอ่ยนามทุกๆคน.

เจริญในธรรม.

"ผ่านมาก็ ๓ ปีแล้วล่ะสินะตั้งแต่ต้นปี ๔๙ สำหรับเส้นทางแห่งสายธรรมอันเกิดจากความเห็นทุกข์ในชีวิตและจิตใจ. "

เดินทางกันต่อไป.

ขอธรรมคุ้มครองทุกๆท่านครับ.

นัทสุง.


:D




ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ (นัท)

(แผ่นกระดาษที่มีรูปถ่ายและคำถามด้านหลังสำหรับพนักงานแต่ละคน)

No comments:

Post a Comment