Thursday, 17 September 2009

สวนแห่งรัก “สวนสันติธรรม.” (Love Garden)


...สวนแห่งเรา สวนแห่งรัก เย็นสงบ

...ยินเสียงกบ ร้องเรไร เมฆาสาง

...แสงตะวัน รำเพยพัด พลิ้วอ่อนบาง

...มิจืดจาง แสงธรรมล้ำ สาดส่องใจ

...แลเราสอง เคียงชิดกัน แนบสัมผัส

...ทุกข์ผูกมัด พลันอ่อนคลาย กลับกลายหนี

...สวนแห่งเรา สวนแห่งรัก ธรรมจักมี

...ชื่นชีวี ในสวนนี้ สันติเอย.


“สวนแห่งสันติธรรม , ฉันแลเธอจักหายไป.”

...สวัสดี เธอ. ตอนเช้าครับ.

...เช้าวันนี้ , บรรยากาศเย็นสบายแลสว่าง สะอาด สงบ หลังเมฆาแลพายุฝนได้พัดผ่านไป.

...เธอ. สบายดีนะครับ?? บรรยากาศทางนั้นคงได้พานพบกับแสงตะวันแห่งเช้าวันใหม่เช่นเดียวกันนะครับ.

...เอ , เดี๋ยวๆ เรา. ขอไปเปิดดูพยากรณ์อากาศที่ทางนู้นก่อนนะครับ. (ยิ้ม)

...โอ , พยากรณ์อากาศได้ทำนายว่า

“บรรยากาศแห่งแสงตะวันสีทองผ่องอำไพ ณ.หนแห่งนั้นช่างสวยงาม อากาศไม่ร้อนมาก แลมีแสงตะวันทอแสงทอประกายให้อบอุ่นใจ , โอกาสที่ฝนจะตกมีเล็กน้อยครับ.”

...อย่างไร , ถ้าฝนตกก็อย่าไปตากฝนล่ะ เดี๋ยวเปียก!! (ฮา)

“แม้โอกาสที่ฝนจะตกมีเพียงน้อยนิด , แต่มันก็ไม่มีอะไรแน่นอน.

...แต่ไม่ว่าฝนจะตกหรือไม่ตกนะ , สวนสันติธรรมก็ยังเป็นสวนสันติธรรมเช่นเดิม.

...แล้วเจอกันที่ “สวนสันติธรรม.” ครับ.

...ขอธรรมคุ้มครอง.

กรรมานัตตา.






ภาพประกอบ : กรรมานัตตา.

SUPERCAR


hi , everyone.

today , i really miss them.


"they're one of the best band for me."



Supercar

Supercar was a Japanese rock band active from 1995 to 2005, and who made their debut in 1997.

Consisting of songwriter and vocalist Kōji Nakamura , guitarist Junji Ishiwatari , bassist Miki Furukawa , and drummer Kōdai Tazawa.

Supercar is best known for combining alternative rock with electronic music.

Internationally, Supercar is best known for providing much of the soundtrack for the Japanese film Ping Pong, as well as being featured in the anime series Eureka Seven.



Hailing from Aomori Prefecture,

Supercar was formed in 1995

when bassist Miki Furukawa placed an advertisement in a local magazine seeking fellow musicians.

Junji Ishiwatari responded and convinced childhood friend Kōji Nakamura to join as well.

Junji and Kōji soon recruited drummer Kōdai Tazawa, an acquaintance from middle school.

After writing songs and recording demo tapes, they received a record contract.

In 1997 they released their debut album, Three Out Change, and their second album, Jump Up,

In 1999. This album was followed by Ooyeah and Ookeah, both also released in 1999.

With the 2000 album Futurama, electronic experimentation took a larger role that would characterize the band's sound for the rest of their career.

The 2002 release Highvision continued the electronic development, and the single Strobolights did not even contain a guitar.

They released their last album, Answer in 2004. Perhaps their most experimental album, Answer contained balance of both rock and electronica.

They are famous for their 2005 song featured in the anime Eureka Seven , "Storywriter" .

In 2005, Supercar broke up following a final concert, released under DVD as Last Live. Following the breakup, Furukawa and Nakamura have pursued successful solo careers.

...let's feel them.

SUPERCAR : The Last Live Kanzen-ban.



















...and their last song in their last live , it's really beautiful for me.

"TRIP SKY"










read more @ http://en.wikipedia.org/wiki/Supercar_(band)


ping pong trailer : i've known SUPERCAR from this film , it's a good film. :D

Tuesday, 15 September 2009

"finale"




"...เกิดขึ้น ...ตั้งอยู่ ...แล ดับไป."

"...เหลืออีกเพียงขั้นเดียว เรา. ก็จะจำกันไม่ได้อีกต่อไปแล้วสินะ."


สายลมอ่อนพัดโชยผ้าม่านสีขาวผืนเบาบางปลิวพลิ้วไหวไปตามแรงลม

บรรยากาศยังคงเงียบสงบ

"...เจอสิ."

"...แล้วเราจะได้พบเจอกันใน ความรู้สึกดีๆ."


รอยยิ้มแสนแผ่วเบาครั้งสุดท้ายของ เขา พลันสงบลง

เช่นเดียวกับ ลมหายใจ สุดท้ายของ เขา

แล ดวงตา ของ เขา ค่อยๆปิดลง

บรรยากาศยังคงเงียบสงบ

ภาพค่อยๆมืดลง

...

..

.








.



-กรรมานัตตา-





ปล.ขอบคุณ เธอ สำหรับบทสนทนาแห่งวันวานแลกำลังใจดีๆที่มีให้แก่กัน.

ขอธรรมคุ้มครอง.

เดินทางกันต่อไป เหลืออีกเพียงแค่ ขั้นเดียว.

แด่ คนรัก แห่งเรา.



ภาพประกอบ : ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ.

โอ!เมฆา.



...แหงนมองฟ้า เห็นเมฆา พลิ้วผ่านไหว

...เหมือนดั่งใจ ลอยสู่ฟ้า ออกจากฐาน

...จิตตื่นรู้ แลตาตื่น คืนกลับมา

...โอ!เมฆา เกิดแล้วดับ หายลับไป.

"กลุ่มเมฆก่อกำเนิดจากละอองน้ำพลันเกิดขึ้นแลจางหายไป , เป็นธรรมดา."

กรรมานัตตา.

พฤ. ๖ สค. ๕๒.




ภาพประกอบ : ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ.

Thursday, 10 September 2009

LOVE ANThology # 3



“when we are 2gether under the quilt , we feel warm , and I will hold your lovely hand , my dear.”

LOVE ANThology # 3 :D

by karmanatta.

a pic by ZDOMI.

"สู่แสงสว่าง" (Enlighten)


The Light of Art Family (2008)

presents...


"สู่แสงสว่าง" (Enlighten)

...เมื่อ "สิ่งนั้น" ถูกความมืดมิดเข้าครอบงำ
...เพลานั้น "แสงสว่าง" แห่งดวงตะวันถูกกลืนกลาย
...ท่ามกลาง "ความมืดมิด" บนโลกใบนี้
...แม้เพียง "แสงสว่าง" อันน้อยนิดจากเปลวเทียน
…จักหายไป.


...when 'the light' is covered with the darkness
...in that moment 'The Brighness' from the sun swallowed by
...among 'the darkness' on the earth
...even 'a little light' from the candle will be
...fade away.


"สู่แสงสว่าง" (Enlighten)

a synopsis by nuttaphan pintaweekiet.

the light of art family , bangkok thailand.




















LET'S ENLIGHTEN!!

-karmanatta-

Wednesday, 9 September 2009

วันที่ก้าว เดือนที่ก้าว ปีเราก้าว

...วันที่ก้าว เดือนที่ก้าว ปีเราก้าว

...เราสองก้าว ก้าวเคียงไป สู่ทางฝัน

...ก้าวที่ก้าว ก้าวแห่งเรา สองเคียงกัน

...ก้าวด้วยกัน ก้าวแห่งรัก ก้าวแห่งเรา

...ก้าวสู่ธรรม ก้าวสู่ฟ้า แสงธรรมส่อง

...ก้าวผุดผ่อง ส่องประกาย ในใจศรี

...ขอเคียงก้าว สู่ธรรมฟ้า เคียงคนดี

...ก้าวฤดี ก้าวสุขแท้ ในใจเรา.


“ก้าวต่อไปเคียงข้างกัน สู่จุดหมายปลายทางแห่งธรรมแท้ด้วยรักเรา.”

"...สวัสดีตอนเช้าวันที่เก้าเดือนที่เก้าปีศูนย์เก้าครับผม. "

กรรมานัตตา.


พ. ๐๙ ๐๙ ๐๙.

Tuesday, 8 September 2009

LOVE ANThology # 2



“can you sing 2gether with me? , little girl. we gonna dance and hold our hands 2gether all the night , and then i’m gonna kiss you.”

LOVE ANThology # 2 :D

by karmanatta.

a pic by ZDOMI.

บทความโดยหลวงพ่อปราโมทย์เกี่ยวกับอดีตชาติ ชาติก่อน ชาติหน้า ที่หาอ่านได้ยาก‏

สวัสดีครับ คุณผู้อ่าน ที่น่ารักทุกๆท่าน.

เมื่อวานเราได้เปิดกล่องจดหมายไฟฟ้าแล้วได้พบเจอกับจดหมายไฟฟ้าฉบับหนึ่งจากสหายธรรมแห่งเรา คือ ชนินทร์ (นิน,วอก) จ่าหัวของจดหมายไฟฟ้าฉบับนี้มีข้อความว่า...

"บทความโดยหลวงพ่อปราโมทย์เกี่ยวกับอดีตชาติ ชาติก่อน ชาติหน้า ที่หาอ่านได้ยาก‏."

...ตามชื่อจ่าหัวของจดหมายไฟฟ้าฉบับนี้เลยครับ , เราไม่เคยได้อ่านงานเขียนของหลวงพ่อปราโมทย์ชิ้นนี้เลยครับ หลายๆท่านที่แวะมาเยี่ยมเยียนบล๊อกแห่งนี้ก็คงเช่นกัน.

ความรู้สึกหลังจากที่เราได้สัมผัสงานเขียนชิ้นนี้ คือ ...

"จงอย่าประมาท , จงเจริญสติเจริญวิปัสสนาตามรู้ตามดูกายแลใจว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ต่อไปด้วยใจที่เป็นกลางกันเถิด , สังสารวัฏแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอันหาจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดไม่ได้นี้ช่างน่าเบื่อน่าอิดหนาระอาใจ น่ากลัวน่าเกลียดและเป็นทุกข์เสียเหลือเกิน เพราะอะไร?? เพราะ ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงชั่วคราว แต่เราทุกคนยังไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริง."

...อืม , ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้หรอกครับ นอกจากตัวของเราเอง.
ขอเพียงแค่ "รู้"

หวังเพียงว่า , บทความชิ้นนี้อาจจะเป็นประโยชน์กับใครหลายๆคนบ้าง ไม่มากก็น้อย นะครับ แต่ถ้าท่านใดต้องการเข้าถึงเนื้ออรรถเนื้อธรรมแท้ๆจากพระอาจารย์ปราโมทย์ เชิญโหลดได้ที่ลิงก์ด้านข้างเลยนะครับ.

"บทความโดยหลวงพ่อปราโมทย์เกี่ยวกับอดีตชาติ ชาติก่อน ชาติหน้า ที่หาอ่านได้ยาก‏."



















หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

ขอขอบคุณ : ชนินทร์ (นิน,วอก) กัลญาณมิตรแห่งธรรมสำหรับจดหมายไฟฟ้าฉบับนี้.

เพียงหวังว่า , บทความชิ้นนี้จะเป็นประโยชน์แก่ทุกๆท่านไม่มากก็น้อยนะครับ.

ขอธรรมคุ้มครอง.

นัท.


"คนไปเกิดเป็นสัตว์ สัตว์ไปเกิดเป็นเทวดา สังสารวัฏนี้เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้เลย แต่มีความเที่ยงธรรมอย่างที่สุด , และสิ่งเดียวที่จะเปลี่ยนแปลง(คน)ได้ดีที่สุดคือ การเจริญมหาสติปัฏฐาน."

Saturday, 5 September 2009

"ฟ้าในวันที่ผ่านมา" (past's sky)



...แลวิหคเพลิงหมายบินสู่เส้นชัย.




-จดหมายที่ทำให้เราได้พบเจอกับใครหลายๆคน-


...ขอแสงสว่างแห่งปัญญานำทาง .

...หลังจากจบการศึกษาจากคณะวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สาขาภาพยนตร์และภาพถ่ายข้าพเจ้าได้ใช้เวลา 2 ปี ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผ่านพบเรื่องราวต่างๆมากมาย

“ความทุกข์”

เป็นเพื่อนแลอาจารย์ที่แท้จริงของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าได้เริ่มค้นหา
“ความจริง”

ความจริงจาก “ภายใน”

จากที่เคยต้องการเพื่อดับทุกข์แห่งตน

กลับกลายเป็น

การปรารถนาในการช่วยสวรรค์ประกาศ “ความจริง”

ไม่ว่าจะยากลำบากสักเพียงไหน ทุกคน ทุกผู้ ทุกนาม ยังคงต้องเดินทางต่อไป

ในเส้นทางชีวิตของตัวเอง

ข้าพเจ้าหวังเพียงว่า ความสามารถแม้เพียงน้อยนิดของข้าพเจ้า จะสามารถช่วยบอกผ่าน “สัจธรรม” หรือ “ความจริง” ผ่านงานเขียนของข้าพเจ้า ผ่านอณูเสียง ตัวหนังสือ ผ่านภาพนิ่ง แลภาพเคลื่อนไหว ที่ข้าพเจ้าสามารถบอกผ่านเรื่องราวแลความจริงได้

งานเขียนต่างๆเกี่ยวกับ เรื่องผี จิต วิญญาณ , กิเลส , กรรม-เวร , ความรัก , ความเมตตา แลทั้งหมดมุ่งสู่

“ปัญญา”

ทั้งหมดทั้งมวล ทุกความรู้สึกของมนุษย์ มนุษย์ผู้สามารถมุ่งไปสู่ “เส้นชัย”

แม้ยากลำบากสักเพียงใด

ข้าพเจ้าหวังแลศรัทธาว่า “ทุกคน” จะสามารถมุ่งไปสู่แสงสว่างได้ด้วยกัน .

-กรรมานัตตา-
15 กรกฏาคม 2551

...งานเขียน เรื่องสั้น เรื่องยาว บทความ นิทานเด็ก ภาพวาด ภาพระบาย และทุกศาสตร์แห่งศิลปะในการสื่อสาร

ข้าพเจ้าจะบอกผ่าน “ความจริง”

ผ่านเครื่องมือทางการสื่อสารที่ข้าพเจ้ามีอยู่

...ขอแสงสว่างจงนำทาง

...แลนำสุขสวัสดิ์ดีจงมีแก่ท่านเทอญ

...สวัสดีครับ


(…ข้าพเจ้าอธิษฐานอยู่เสมอว่าขอจงสำเร็จ “ทางโลก” เพื่อช่วยเหลือแลตอบแทนพระคุณมารดาของข้าพเจ้า

แลอธิษฐานว่าขอจงสำเร็จ “ทางธรรม” เพื่อช่วยเหลือทุกคน ทุกดวงวิญญาณ แลโลกใบนี้

แลเพื่อมุ่งสู่การหมดสิ้นกิเลส ตั้งมั่นสู่ “พระนิพพาน” แลตั้งมั่นในกรรมดี)



สวัสดีเช้าวันเสาร์ครับ คุณผู้อ่าน ที่น่ารักทุกๆท่าน.

เช้าวันนี้เราได้เข้าร่วมกิจกรรมทำวัตรเช้าที่สำนักพิมพ์เช่นเดิมครับหลังจากที่ห่างหายไปหลายครั้งหลายครา.

มันคือกิจกรรมอะไรอ่ะ??

หลายๆคนอาจจะงงนะครับว่าสำนักพิมพ์ที่เราทำงานอยู่มันมีกิจกรรมทำนองนี้ด้วยเหรอ??

ใช่แล้วล่ะครับ , ที่สำนักพิมพ์ที่เราเขียนหนังสือธรรมะอยู่นั้นจะมีกิจกรรมทำวัตรเช้าเป็นประจำทุกสัปดาห์ สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง คือ เช้าวันจันทร์และเช้าวันเสาร์ครับ (เราทำงานสัปดาห์ละ ๖ วันครับ , วันจันทร์ถึงเสาร์.)

การทำวัตรเช้าก็จะเริ่มด้วยการสวดมนต์ที่ลานธรรมครับ พนักงานประมาณ ๑๐๐ คนจากทุกแผนกก็จะมานั่งสวดมนต์ ทำสมาธิ และแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลร่วมกันครับ.

สำหรับเรา , ทีแรกก็งงๆนิดหน่อยครับว่า "เออ , แปลกดีแฮะ ที่มีกิจกรรมแบบนี้" แต่ก็ไม่แปลกใจอีกทีครับ เพราะว่าที่สำนักพิมพ์ที่เราทำอยู่นั้น

"เป็นสำนักพิมพ์พระพุทธศาสนา."

(ยิ้ม)

คงไม่มีออฟฟิศที่ไหนหรอกครับที่จะสละเวลาครั้งละ ๒ ชม. เป็นอย่างน้อยมาร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเช้าร่วมกันแบบนี้ , จริงไหม??

"เพราะที่นี่ส่งเสริมทั้งทางโลกและทางธรรมครับ"

ที่นี่ทำงานถือหลักว่า บุญนำแบงก์ แข็งแรงกายแข็งแรงใจ.

แต่สำหรับเราแล้ว , เราไม่สนใจเรื่องบุญนำแบงก์หรอกครับ เราสนใจเรื่องของ "ปัญญา."

"ปัญญา ในการรู้กายรู้ใจตัวเองว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของของเรา."

เอ...มันคืออะไรน้อ??

เกริ่นมากก็นานครับ , เดี๋ยวเราจะมาว่ากันต่อที่ประเด็นนี้ครับ (ยิ้ม)

หลังจากสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่ตัวเอง เพื่อนร่วมโลก และสรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก ไม่ว่าจะเป็น คน สัตว์ สัตว์นรก เปรต อสุรกาย เทวดา พรหม ทุกสรรพสิ่ง แผ่ออกไปให้สุดขอบสุดประมาณส่องสว่างรัศมีไปไกลแสนไกลแล้ว , กิจกรรมจากเถ้าแก่หรือกองบรรณาธิการก็จะเริ่มขึ้นครับ.

กิจกรรมที่ว่านี้ก็เช่น เถ้าแก่จะออกมาพูดจาปราศรัยทักทายเรื่องราวธรรมะและสาระ(ทุกข์)สุขดิบทั้งหลายกับพนักงานที่ลานธรรม , เป็นต้นครับ

หรือไม่ก็เป็นกิจกรรมที่กองบรรณาธิการนำเสนอครับ เช่น เล่นเกมส์ใดๆ ทำข้อสอบธรรมะและความรู้รอบตัว เป็นต้นครับ.

ก็รันๆดำเนินการไปเรื่อยๆจนกระทั่ง ๑๐ นาฬิกาเช่นทุกครั้งไป แล้วก็แยกย้ายกันไปทำงานตามปรกติครับ.

"เช่นเดียวกับกิจกรรมในเช้าวันเสาร์ที่ ๕ กันยายน วันสบายๆวันนี้ครับ. "

เราก็สวดมนต์ไปตามท่วงทำนองที่มันควรจะเป็นครับ.

ใจหลงไปแว๊บรู้สึก แว๊บรู้สึก เดี๋ยวมันก็หลงไปคิด เดี๋ยวมันก็เผลอไปฟุ้งซ่าน ปากก็สวดมนต์แต่ใจนี่ไหลไปไหนต่อไหน เราก็คอยระลึกรู้ตามดูกายตามดูใจไปด้วยสติและปัญญาครับ

เบื้องต้นรู้เพื่อเกิดสติ , ใจเผลอไปคิด ใจเผลอไปฟุ้งซ่าน พอเกิดสติระลึกรู้สภาวะต่างๆเหล่านี้ เราก็พิจารณาและรู้สึกด้วยปัญญาเป็นเบื้องปลายทันที


"นาทีทอง."

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป (เมื่อเกิดสติระลึกรู้ตามสภาวะในใจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน)

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป


ไม่ว่าจะ สุข ทุกข์ เฉยๆ กลัว โกรธ ฟุ้งซ่าน ขี้เกียจ ขี้อิจฉา ขี้นู่น ขี้นี่ ขี้นั่น เต็มไปหมด สุดท้ายมันก็มาลงที่เดียวกันคือ

เมื่อกี้มันไม่มี ตอนนี้มันมี แล้วมันก็หายไป

"เพียงแค่ชั่วคราว."


แถมเราก็บังคับใจของเราไม่ได้ด้วยนี่ ไม่ทุกข์ได้มั้ย?? อย่าหลงสิ?? อย่าคิดฟุ้งซ่านสิ?? อย่ากลัวสิ?? มีความสุขอย่างเดียวสิ?? เราบังคับมันไม่ได้นี่

เช่นเดียวกับ สติ.

จิตมันก็มีหน้าที่คิดปรุงแต่งไปของมันเช่นนั้นเองนี่

เอ?? แล้วถ้าอย่างนั้น...

"อะไรที่เราบังคับไม่ได้มันก็ไม่ใช่ของเราด้วยน่ะสิ"

เอ?? จริงมั้ยน้อ?? ลองไปสัมผัสและรู้สึกในกายในใจกันดูละกันนะครับ ดูได้ตลอดเวลา ดูได้ในชีวิตประจำวัน.

แล้วเราจะค้นพบกับ "ความเป็นจริง."

กิจกรรมหลังทำวัตรเช้าในเช้าวันเสาร์นี้มันทำให้เราระลึกถึง "จดหมายไฟฟ้า" ฉบับหนึ่งที่เราเขียนแนะนำตัวเอาไว้ครับ , จดหมายฉบับนี้มันก็ผ่านมาได้ประมาณ ๑ ปีหน่อยๆแล้ว มันทำให้เราได้พบเจอบุคคลดีๆหลายๆคนรวมไปถึงหน้าที่การงานในปัจจุบันด้วยล่ะครับ

พอดีว่าเช้าวันนี้ , เถ้าแก่เราแจกรูปภาพที่เคยถ่ายไว้ของพนักงานแต่ละคนให้กับเจ้าตัวครับ เป็นกระดาษที่ปรินท์รูปภาพขนาดใหญ่พอประมาณ ส่วนด้านหลังจะมีกรอบข้อความให้แต่ละคนขีดเขียนลงไปดังนี้

ในปี พศ. ... ฉันจะเป็นหัวหน้า มีผู้ช่วย ... คน งานที่ฉันทำแล้วมีความสุข คือ ... ลงชื่อ ... นามสกุล ...ชื่อเล่น ... ณ.วันที่ ๕ กันยายน พศ. ๒๕๕๒

ดังนี้ครับ.

อา...ตอนนี้ถ้า คุณผู้อ่าน เห็นข้อความแบบนี้แล้ว คุณจะขีดๆเขียนๆมันลงไปอย่างไรบ้างครับ??

สำหรับเราแล้ว , ความรู้สึกแรกที่ได้เห็นข้อความเหล่านี้ เรารู้สึกว่า

"เราจะไม่เป็นอะไรเลย"

เราขีดเครื่องหมายลบในช่องปี พศ.

เราขีดฆ่าประโยคที่ว่าฉันจะเป็นหัวหน้า เป็น "ฉัน ขีดฆ่าอีกทีเป็น เรา , เราจะไม่เป็นอะไรเลย"

มีผู้ช่วย เครื่องหมายลบ จำนวนคน.

งานที่เราทำแล้วมีความสุขคือ "การได้ทำงานให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการเขียนหนังสือธรรมะและสื่อสร้างสรรค์ที่เราพอจะมีปัญญาอันน้อยนิดสร้างสรรค์ออกมาได้."

ลงชื่อ ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ ชื่อเล่น นัท.

อืม...เขียนเสร็จเราก็รู้สึกกับสิ่งที่เขียนไปจริงๆ

ยังงัยเหรอ??

ตั้งแต่เริ่มภาวนาดูกายดูใจมาตามหลักการเจริญสติวิปัสสนากรรมฐานหรือที่แปลว่า การเห็นอันวิเศษ นั่นเองได้ปีกว่าๆ เราก็รู้สึกเริ่มเห็นตามความเป็นจริงในกายในใจมากขึ้นเรื่อยๆว่า

"ตัวเราที่เมื่อก่อนมันเป็นก้อนอัตตาตัวตนหนาแน่นมันเริ่มอ่อนลงๆและยอมรับตามความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆทุกทีๆว่ามันไม่มีสิ่งใดเป็นความจริง เราทุกคนโดนหลอก จริงๆแล้วมันไม่มีใคร ไม่มีอะไร แต่มันเกิดจากความไม่รู้ ไม่รู้ตามความเป็นจริง เลยหลงวนเวียนเรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด."

โอเค , เรายังรู้สึกดีกับความสุข ยังมีกิเลสตัวหลักๆอยู่บ้าง แต่เราก็เริ่มปล่อยวางและรู้หนทางในการพ้นทุกข์ มากขึ้นเรื่อยๆ เราเห็นกิเลสในใจ เราเห็นความจริงมากมายที่ปรากฏขึ้นในกายในใจ และ...

เราจะภาวนาต่อไป.

เรารู้สึกเช่นนี้ , หลังจากนั้น เถ้าแก่ก็ส่งไมค์ให้พนักงานทีละคนเพื่อบอกความรู้สึกว่า ทำไมเถ้าแก่ต้องให้ทุกคนเขียนคำตอบลงในช่องว่างพวกนี้

"เรารู้สึกว่าเป็นการวางเป้าหมายสำหรับบทบาทสมมติที่เราแต่ละคนจะต้องดูแลและรับผิดชอบและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด."

เราส่งผ่านความรู้สึกผ่านไมโครโฟนไปเช่นนี้เองครับ.

ส่วนคนอื่นก็แล้วแต่ความรู้สึกของแต่ละคนครับ ไม่มีผิด ไม่มีถูก

หลายๆคนอยากเป็นหัวหน้า อยากมีหน้าที่การงานสูงๆ อยากมีลูกน้องเยอะๆ อยากเป็นใหญ่เป็นโต มันไม่ผิดอะไรเลยนี่...

แต่อย่าลืมถามตัวเองนะครับว่า...

"แล้วสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่าต่อโลกใบนี้มากน้อยเพียงใด??"

มองกลับไปปีกว่าๆที่แล้วก็รู้สึกว่ามาไกลมากๆเหมือนกัน ความฝันตั้งแต่วัยเรียนในการจะทำภาพยนตร์โฆษณา มันก็พลันจบลงด้วยความรู้สึกที่ว่า...

"นี่กูทำอะไรอยู่วะ??"

"คุณค่าของมันคืออะไร?? ความเหนื่อยความทุกข์กายทุกข์ใจเราเอาไปทำเรื่องที่มันเป็นประโยชน์ต่อโลกใบนี้ได้มากกว่านี้จะดีมั้ย?? แต่มันก็เป็นความฝันของเรานะการทำหนัง ตำแหน่งหน้าที่การงานเงินเดือนสูงๆและอื่นๆอีกมากมาย..."

แต่สุดท้าย...

มันก็เพื่อ ตัวเอง!! (นี่หว่า , มันเพื่อตัวเองทั้งนั้นเลย.)

...ตอนนั้นกังวลและไม่รู้หนทางว่าจะเอาอย่างไรดี?? เอาไงดีวะ?? ทำต่อไปเหรอ?? แต่เราจะตายห่าสิ้นลมหายใจเมื่อไหร่ก็ไม่รู้?? แล้วชีวิตแบบนี้มันใช่แล้วเหรอ??

สุดท้ายตัดสินใจง่ายๆเลยว่า วาง!! ไปตายเอาดาบหน้า!!

อยากเขียนหนังสือเหรอ?? ก็เริ่มลงมือเขียนสิ ทำเหตุทำปัจจัยสิ

อยากเขียนหนังสือธรรมะเหรอ?? ศึกษากาย ศึกษาใจของตัวเองสิ ศึกษาธรรมะและธรรมชาติรอบๆตัวสิ

...สุดท้าย , ทำเหตุทำปัจจัยในปัจจุบันให้ดีที่สุดแล้ว ผลมันก็จะออกมาเอง ไม่ว่ามันจะสำเร็จหรือมันไม่สำเร็จ.

อืม , ปัจจุบันนี้ก็รู้สึกดีกับการทำงานเขียนหนังสือธรรมะด้วยปัญญาอันน้อยนิดให้ผู้คนในโลกใบนี้ อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน เราก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด งานอื่นที่อยากทำก็มีเวลาทำ หล่อเลี้ยงได้ทั้งชีวิตและอุดมการณ์.

"เงิน" ไม่ใช่คำตอบสำหรับเรานี่.

แล้ว คุณผู้อ่าน ล่ะครับ , ถ้าเป็นคุณ , คุณจะเขียนลงในช่องว่างหลังกระดาษว่าอย่างไร??

ขอบคุณกัลญาณมิตรธรรม อันได้แก่ กิตติพงษ์ หาญเจริญ (ป๊อปเด้อ , กิต) สำหรับบทสนทนาและการพูดคุยต่อคำถามที่เกิดขึ้นรอบๆกายในช่วงชีวิตของเราที่ผ่านมาทั้งชีวิต ณ. หน้าลานศูนย์หนังสือจุฬา :D

เช่นเดียวกับ ชนินทร์ (วอก , นิน) สำหรับเชื้อธรรมแรงๆหลังจาก ๑๔ วันหลังการบวชของคุณในครานั้น , การพบเจอและสนทนากันในวันนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อสำหรับเส้นทางสายธรรมแห่งเราได้อย่างดี.

พี่พงศ์ (ธรากร กมลเปรมปิยะกุล , Creative Director TBWA Thailand) จดหมายฉบับนี้ทำให้ผมและพี่ได้พบเจอกันอย่างมหัศจรรย์ทั้งทางโลกและทางธรรม ขอบคุณสำหรับความรู้ ประสบการณ์ และโอกาสดีๆที่เราได้พบกันครับ.

อ.ศักดิ์สิทธิ์ บก.ที่เคารพ ขอบคุณสำหรับความรู้ คำแนะนำ และโอกาสในการทำงานเพื่อพระพุทธเจ้าครับ.

และท่านอื่นๆที่มิได้เอ่ยนามทุกๆคน.

เจริญในธรรม.

"ผ่านมาก็ ๓ ปีแล้วล่ะสินะตั้งแต่ต้นปี ๔๙ สำหรับเส้นทางแห่งสายธรรมอันเกิดจากความเห็นทุกข์ในชีวิตและจิตใจ. "

เดินทางกันต่อไป.

ขอธรรมคุ้มครองทุกๆท่านครับ.

นัทสุง.


:D




ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ (นัท)

(แผ่นกระดาษที่มีรูปถ่ายและคำถามด้านหลังสำหรับพนักงานแต่ละคน)

Friday, 4 September 2009

แด่ เดวิด สุย (ฟุงสุยอัน) : RIP David Tsui (Fui-On Shing)



ในตอนบ่าย , ปฏิกิริยาของเขาพลันตอบสนองทันทีเมื่อได้ยินเสียงของลูกชายวัย 6 ขวบ.

"ตื่นแล้วเหรอครับพ่อ , พ่อออกไปตีปิงปองกับผมด้วยกันนะครับ."

เด็กน้อยยิ้มให้เขาด้วยความน่ารักแลอ่อนโยนพลางยื่นไม้ปิงปองให้กับเขา.

"ได้สิลูก , แล้วเราจะตีปิงปองด้วยกันตลอดไปนะ."

เขาจ้องมองเด็กน้อยลูกชายของเขาพลันส่งยิ้มให้เด็กน้อยด้วยความปีติเป็นครั้งสุดท้าย.

แลดวงตาของเขาพลันปิดตัวลง.

บรรยากาศในห้องพลันเงียบสงบ.

คงเหลือไว้เพียงรอยยิ้มแห่งความปีติ.

"แล้วเราจะได้พบกัน ณ. ดินแดนแห่งนั้น, ลูกรัก."

ขอธรรมคุ้มครอง.

กรรมานัตตา. (karmanatta
)

เดวิด สุย (ฟุงสุยอัน)

เดวิด สุย หรือ ฟุงสุยอัน จากโลกนี้ไปแล้วด้วยโรคมะเร็งหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal Carcinoma NPC) ก่อนที่มะเร็งร้ายจะลุกลามไปที่ตับขณะมีอายุได้ 54 ปี โดยมีเพื่อนนักแสดงทั้งอลัน ทัม, อีริค เจิ้ง, และนิค เฉิง รายล้อมคอยส่งอยู่ข้างเตียงเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งตามรายงานระบุว่าก่อนที่เขาจะจากไปเขาอยากเห็นหน้าลูกชายวัย 6 ปีที่เขาห่วงที่สุดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ.

โดยในแต่ละวันเขามักจะเฝ้ารอเวลาที่ลูกชายเลิกเรียนเพื่อมาเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาล โดยเขาเคยขอลุกจากเตียงคนไข้เพื่ออกไปเล่นกับลูกชายสักครั้งหนึ่งแต่ก็ได้รับการปฏิเสธเพราะร่างกายของเขาไม่แข็งแรงพอ.

พิธีฝังศพของเขาจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้โดยจะเริ่มพิธีในเวลา 4 โมงเย็นที่โบสถ์แบบติสท์ ก่อนจะเคลื่อนศพไปฝังที่ นัมหวายฉวน.

เดวิด สุย หรือ ฟุงสุยอัน เป็นนักแสดงดาวร้ายชาวฮ่องกง ที่คุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดีมักได้รับบทผู้ร้ายที่ไม่ค่อยฉลาดสร้างเสียงหัวเราะ ซึ่งเขามักปรากฏตัวในภาพยนตร์ของ โจวซิงฉือ นักแสดงและผู้กำกับชื่อดัง เขาฝากฝีมือการแสดงมากมายโดยมีผลงานภาพยนตร์มาแล้วกว่า 350 เรื่อง และเล่นละครมาแล้วกว่า 600 ตอน โดยมีผลงานสร้างชื่อคือ "คนตัดเซียน"

ก่อนเสียชีวิตเขาอาศัยอยู่กับแม่วัย 81ปี และมีภรรยา 2 คน โดยมีลูกชายวัย 30 ปีกับภรรยาคนแรกพร้อมหลานชายวัย 10 ปีอีกหนึ่งคน และมีลูกชายวัย 6 ปีกับภรรยาคนที่ 2

เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งที่หลังโพรงจมูกตั้งแต่ปี 2005 โดยครั้งนั้นแพทย์คาดว่าเขาจะมีอายุได้เพียง 4 เดือน แต่เจ้าตัวกัดฟันสู้กับโรคร้ายจนกระทั่งมีอายุอยู่ต่อมาได้อีก 4 ปี ก่อนที่มะเร็งจะลุกลามไปยังตับทำให้เขาอาการทรุดหนักลงจนต้องจากโลกนี้ไปเมื่อวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา.

David Tsui (Fui-On Shing)

"Dai Sor" David Tsui (Fui-On Shing) , HK Actor , passed away the night before yesterday at the age of 54.

The night before (August 27th) at 11:45pm he passed away at the Baptist Hopsital. Many of his entertainment circle good friends rushed to the hospital to see him for the last time, his family accompanied him the whole time by his bedside.

He spent his last moments with entertainment circle friends Alam Tam, Eric Tsang and Nick Cheung by his bedside bidding farewell.

According to sources, before David left the world
he persisted to wait for his 6 years old son who he is most worried about to appear first before he could leave peacefully.

David suffered from nasopharyngeal carcinoma (cancer in the nose) which later spread to his liver.











Thursday, 3 September 2009

วันพฤหัสอากาศดี (the sunshine is in our mind.)

สวัสดีตอนเที่ยงๆครับ คุณผู้อ่าน ที่น่ารักทุกๆท่าน.

สบายดีกันนะครับผม??

วันนี้วันพฤหัสบดี วันสารทจีนครับ เอ...ว่าแต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกันล่ะนี่??

ณ.เวลานี้ , เราก็ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานที่ สนพ. ตามปกติครับ.

หลายๆคนอาจจะไปพบปะญาติๆรวมถึงไปรับประทานอาหารร่วมกันในวันนี้

หลายๆคนก็อาจจะนั่งทำงานหัวฟูอยู่ที่ทำงาน

หลายๆคนก็อาจจะไม่ได้ทำอะไรเลย

แต่ไม่ว่าอย่างไร ทุกๆคน ก็ยังคงต้อง...

เดินทางต่อไปตามกลและไกแห่งความเป็นจริง.

"ขอธรรมคุ้มครองครับ."

เอ...ว่าแต่ว่า

จุดหมายปลายทางของคุณคือหนใด??

นัท.

:D

ปล. วันนี้มีคลิปมาให้รับชมเพลินๆสองตัวครับ

ตัวแรก , เป็นงานภาพยนตร์โฆษณาของเทศกาลหนังแห่งหนึ่งครับ โอโห!! เรียบง่ายแต่สนุกสนานตามจังหวะแลท่วงทำนองของภาษาหนังตามสไตล์ญี่ปุ่นครับ (A+++++)

ตัวที่สอง , เป็นคลิปสอนภาษาอังกฤษของสาวเซ็กซี่(??)ในชุดกิโมโนชาวญี่ปุ่นครับ เรื้อนดีครับ เลยนำมาฝากกัน ฮ่าๆ วิธีการนำเสนอของเธอนี่เอาเรื่องน่าดู "come on , toshi!!" อิอิ

ถ้าพร้อมแล้ว , ไปรับชมกันได้เลยครับ.


hi!! everyone.

today's a beautiful day.

the sunshine is in our mind.

"have a nice day."

ps. today , i've 2 clips from YOUTUBE to share you.

the first one is the ad tvc of the film festival. i love this japanese film style , less is more. (A+++++)

and the last one is the english practice clip from the japanese girl in kimono. haha it's weird. "come on , toshi!!" haha.

anyway , let's enjoy!!

:D

karmanatta.


title : dancing japanese girl surprises her dad.

http://www.youtube.com/watch?v=mLKnIGD-5RM

(embedding disabled by request)


สวัสดีเธอ แสงแห่งธรรม.


...เธอคนดี มีกำลัง ใจมาฝาก

...หากลำบาก ขออุ่นใจ เธอมีฉัน

...หากเหนื่อยล้า เราสองอยู่ เคียงข้างกัน

...ทุกคืนวัน มิห่างไกล เคียงคู่เธอ

...ทะเลฟ้า แสงตะวัน ยังสาดส่อง

...แสนผุดผ่อง ธรรมส่องใจ เราสองศรี

...ขอเคียงข้าง เธอทุกวัน แลราตรี

...โอ!คนดี รักฉันนี้ เพียงเพื่อเธอ.

“สวัสดีเธอ แสงแห่งธรรม. , ด้วยรัก."

กรรมานัตตา.





ภาพประกอบ : ณัฐพันธ์ ปิ่นทวีเกียรติ.

Wednesday, 2 September 2009

"หญิงสาวตัวเล็กๆในเสื้อกันฝนสีเหลือง"



...เพลานี้ ฝนตกพรำ พลันชุ่มฉ่ำ


...แสนดื่มด่ำ ชุ่มฉ่ำใจ ไปกับฟ้า


...เพลานี้ แลเราสอง พลันสบตา


...อุ่นอุรา ฝนจากฟ้า พาขับใจ


...อันสายฝน พัดผ่านมา แลพัดผ่าน


...ความคิดอ่าน บอกผ่านใจ แม้เพียงฝัน


...หากตอนนี้ เราได้อยู่ เคียงชิดกัน


...ชุ่มฉ่ำพลัน ในสายฝน ฉันเคียงเธอ.


"คิดถึงเธอในเพลาฝนตกพรำ"


...ชายหนุ่ม ภายใต้ร่มสีเหลือง กระเป๋าเป้สีเหลือง และรองเท้าสีเหลือง ท่ามกลางสายฝนที่ตกพรำ เขาพลันคิดถึง หญิงสาวตัวเล็กๆในเสื้อกันฝนสีเหลือง


"...คิดถึงเหลือเกิน , เพลานี้เธอจักเป็นเช่นไร??"


...สายฝนยังคงพัดโปรยโหมกระหน่ำมิห่างคลาย , มิเวียนวายเช่นสายลม.

บรรยากาศฝนตกพรำในเพลานี้พลันให้ความรู้สึกเหงาเคล้าละคนไปกับความอบอุ่นยามคิดถึงใครบางคนที่อยู่ห่างไกล

"โอ!! สายฝนแห่งความเป็นจริงพลันคลุ้งเคล้าไปกับความอบอุ่นที่ส่งถึงเธอ"


...หลังเมฆฝนพัดผ่านไป รอยยิ้มแห่ง สายรุ้ง จักปรากฏ.


"แล้วเราจักได้พบกัน."


-กรรมานัตตา.-



a pic by ZDOMI.